*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,129 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา “การเมืองไทย” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ “ฉุดรั้งเศรษฐกิจ” ให้ย่ำอยู่กับที่ ขณะที่ “ปัญหาปากท้อง” ของประชาชนยิ่งทวีความรุนแรง ภาวะความไม่แน่นอนจากการต่อรองตั้ง “รัฐบาลชั่วคราว” การขัดแย้งในสภา ไปจนถึงแรงกดดันจากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ได้สร้างแรงสะเทือนต่อความเชื่อมั่นทั้งในและนอกประเทศอย่างชัดเจน
*** ความพยายามจัดตั้ง “รัฐบาลใหม่” ที่ยืดเยื้อ ทำให้ตลาดการเงินผันผวน ค่าเงินบาทอ่อนแรงต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจนำเงินเข้าประเทศ “ธุรกิจใหม่” ถูกเลื่อนการลงทุน โรงงานหลายแห่งชะลอการจ้างงาน “ภาคท่องเที่ยว” แม้ยังพอพยุงตัว แต่ขาดแรงขับจากการใช้จ่ายของรัฐและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค “นักเศรษฐศาสตร์” หลายสำนักประเมินตรงกันว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองกำลังทำให้เศรษฐกิจไทย “เสียโอกาส” โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม และ อินโดนีเซีย กำลังเร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างจริงจัง
*** “พจน์ อร่ามวัฒนานนท์” ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สะท้อนความกังวลว่า การเมืองที่ไร้เสถียรภาพทำให้เอกชนเดินหน้าลำบาก “ไม่รู้จะไปซ้ายหรือขวา” เพราะทั้งเศรษฐกิจโลก ที่เผชิญภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดชายแดน และ ความผันผวนค่าเงิน ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยง หากรัฐบาลไม่เข้มแข็งก็จะยิ่งสะเทือน แม้ กกร. (หอการค้า ส.อ.ท. และ สมาคมธนาคารไทย) พยายามขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ก็ยอมรับว่า การบริโภคในประเทศซบเซา การเบิกจ่ายภาครัฐล่าช้า และ ความไม่มั่นใจทางการเมือง ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญ กกร.ประเมินว่าครึ่งปีหลัง “เศรษฐกิจไทย” อาจโตได้เพียง 1% และยังเสี่ยงถูกปรับลดเครดิต หากการเมืองยังไร้เสถียรภาพต่อเนื่อง
*** รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เห็นว่า หากมีรัฐบาลชั่วคราวบริหารประเทศ 4 เดือนก่อนยุบสภา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของ พรรคเพื่อไทย หรือ พรรคภูมิใจไทย เศรษฐกิจไทยปีนี้จะช้ำพอๆ กัน เพราะช่วงเวลาที่เหลือก่อนยุบสภา นักการเมืองไม่มีจิตใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จะมุ่งเตรียมความพร้อมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อชิงความได้เปรียบเป็นหลัก ภายใต้ฉากทัศน์รัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนคาดว่าจะส่งผลกระทบทำให้จีดีพีไทยในปีนี้ ขยายตัวได้ประมาณ 1.2-1.8% โดยจีดีพีในไตรมาสที่ 4 จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการบริโภค การส่งออก และ การลงทุนชะลอตัว
*** ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เรียกร้องว่า “รัฐบาลใหม่” ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แรงกดดันจากนโยบายสหรัฐ และการแข่งขันกับมหาอำนาจ ซึ่งต้องอาศัยทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถ ไม่ใช่มือใหม่ ทั้งนี้ภายใน 4 เดือน รัฐบาลต้องมีมาตรการชัดเจน โดยเฉพาะการอัดฉีดงบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” พร้อมเสนอให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงการเติบโตที่ต่ำกว่า 1% และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป อีกประเด็นสำคัญคือ การดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าภายในประเทศ (เมดอินไทยแลนด์) อย่างน้อย 40% ของงบประมาณ รวมถึงการอัดฉีดงบเพิ่มเติม 4-8 แสนล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน นอกจากนี้ยังเสนอให้เร่งใช้งบสนับสนุนกระทรวงท่องเที่ยวฯ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและขยายตลาดส่งออก
*** ในมุมมอง “ว.เชิงดอย” เห็นว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ส่งผลกระทบต่อ “กระเป๋าสตางค์คนไทย” เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น ข้าวของเครื่องใช้ปรับราคา ขณะที่รายได้ไม่ขยับ “หนี้ครัวเรือนพุ่ง” ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนแตะกว่า 91% ต่อ GDP สูงที่สุดในอาเซียน “แรงงานเปราะบาง” โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบและเกษตรกร เผชิญราคาสินค้าเกษตรผันผวน ขาดมาตรการพยุงจากรัฐ “เอสเอ็มอีทรุด” ผู้ประกอบการรายเล็กขาดสภาพคล่อง ยอดขายหดตัว แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยาตามที่ควร
*** เมื่อรัฐยังติดกับดักเกมการเมือง “ปัญหาปากท้อง” จึงถูกละเลย ประชาชนรู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง บทเรียนที่เห็นชัดคือ ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง การต่อรองตั้งรัฐบาล และ การวางเกมเพื่อประโยชน์ทางการเมือง กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การผลักดันงบประมาณที่ล่าช้า, นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่เดินหน้า, โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกเลื่อน และ ความสัมพันธ์กับต่างชาติที่สั่นคลอนจากภาพความไม่มั่นคงทางการเมือง
*** “นักวิชาการ-ภาคธุรกิจ” ต่างส่งสัญญาณตรงกันว่า ประเทศไทยต้องการ “เสถียรภาพทางการเมือง” อย่างเร่งด่วน การมีรัฐบาลที่ชัดเจนและมีทิศทางทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นความเชื่อมั่น นักลงทุนต้องการความแน่นอน ขณะที่ประชาชนต้องการนโยบายปากท้องที่จับต้องได้ …คำถามใหญ่คือ “นักการเมืองไทย” จะยอม “ลดเดิมพัน” เพื่อผลประโยชน์ของชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องหรือไม่? หรือ จะยังคงวนอยู่ในเกมการเมืองที่ฉุดรั้งอนาคตเศรษฐกิจไทยต่อไป
*** “การเมือง” กลายเป็นตัวแปรลบที่ทำให้ “เศรษฐกิจไทย” ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน และผลกระทบสุดท้ายตกอยู่ที่ “ประชาชน” ซึ่งกำลังเผชิญำภาวะ ค่าครองชีพสูง หนี้ท่วม และ ความไม่มั่นคงทางอาชีพ หากไม่เร่งคืนเสถียรภาพทางการเมืองโดยเร็ว เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญภาวะ “ดิ่งเหว” ยาวนานกว่าที่คิด…